แอปเปิล เปิดตัว Apple Watch Series 10 นาฬิกาอัจฉริยะรุ่นล่าสุดที่มาพร้อมดีไซน์เพรียวบางที่สุดเท่าที่เคยมีมา จอภาพขนาดใหญ่ขึ้น ชาร์จเร็วขึ้น และฟีเจอร์ใหม่มากมาย ทั้งการวัดความลึกและอุณหภูมิน้ำ รวมถึงระบบปฏิบัติการ watchOS 11 ที่เพิ่มขีดความสามารถให้ผู้ใช้งานอย่างรอบด้าน นับเป็นการยกระดับนาฬิกาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกให้ทั้งทรงพลัง ชาญฉลาด และเรียบหรูยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับราคาเริ่มต้น 14,900 บาท
ก่อนหน้านี้ มีการคาดหวังกันว่าในโอกาสที่ Apple Watch ครบรอบ 10 ปี อาจจะมีการปรับดีไซน์ใหม่ แต่สรุปแล้วแอปเปิลยังคงรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของสมาร์ทวอชรุ่นที่ขายดีที่สุดของพวกเขา โดยมีการปรับดีไซน์ให้มีความบางเบา และหน้าจอใหญ่ขึ้น และเพิ่มฟีเจอร์อัจฉริยะให้การใช้งานครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
Apple Watch Series 10 มาพร้อมดีไซน์ที่บางกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 10% โดยยังคงความสามารถครบครันและแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานถึง 18 ชั่วโมง ฝาหลังผลิตจากโลหะสุดล้ำที่ผสานเสาอากาศเข้ากับฝาครอบตัวเรือน ทำให้ดูเหมือนนาฬิกาเรือนนี้ผลิตขึ้นจากโลหะชิ้นเดียว
นอกจากนี้ยังมีชิป SiP รุ่น S10 ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพ การประหยัดพลังงาน และความชาญฉลาด พร้อม Neural Engine แบบ 4-core ในตัว ขับเคลื่อนฟีเจอร์อัจฉริยะต่างๆ เช่น คำสั่งนิ้ว “แตะสองครั้ง”, Siri บนอุปกรณ์ และการตรวจจับการออกกำลังกายอัตโนมัติ
ตัวเรือนของ Apple Watch Series10 ไม่เพียงแต่บางลงเท่านั้น แต่ยังเบาขึ้นด้วย โดยตัวเรือนอะลูมิเนียมมีน้ำหนักเบากว่า Series 9 สูงสุด 10% ในขณะที่ตัวเรือนไทเทเนียมนั้นมีน้ำหนักเบากว่า Series 9 ตัวเรือนสแตนเลสสตีลเกือบ 20% ตัวเรือนยังมีมุมมนที่โค้งมนยิ่งขึ้นและอัตราส่วนภาพที่กว้างขึ้น ซึ่งทำให้จอภาพมีพื้นที่มากขึ้นโดยที่ตัวเรือนมีขนาดเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
Apple Watch Series10 มาพร้อมจอภาพที่ใหญ่ขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับ Series 4-6 และใหญ่ขึ้น 9% เมื่อเทียบกับ Series 7-9 ทำให้การอ่านและใช้งานสะดวกขึ้น ผู้ใช้สามารถมองเห็นข้อความในบรรทัดอื่นเพิ่มเติมหรือขยายขนาดฟอนต์ได้โดยไม่กระทบกับเนื้อหา แถมยังช่วยให้การพิมพ์ข้อความ หยุดพักการออกกำลังกาย หรือป้อนรหัสผ่านง่ายดายขึ้นด้วย
จอภาพใหม่เป็น OLED แบบมุมกว้าง ที่สว่างกว่า Series 9 ถึง 40% เมื่อมองจากด้านข้าง และประหยัดพลังงานมากขึ้น ทำให้อัตรารีเฟรชในโหมดแสดงผลแบบติดตลอดเร็วขึ้นจากทุก 1 นาทีเป็นทุก 1 วินาที ผู้ใช้จึงเห็นการเคลื่อนที่ของเข็มวินาทีบนหน้าปัดนาฬิกาบางแบบได้แล้วโดยไม่ต้องยกข้อมือขึ้นมา
นอกจากนี้ watchOS 11 ยังมาพร้อมหน้าปัดนาฬิกาใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ประโยชน์จากจอภาพที่ใหญ่ขึ้นและอัตรารีเฟรชที่เร็วขึ้น เช่น หน้าปัดนาฬิกาฟลักซ์ที่มาพร้อมดีไซน์กราฟิกสุดโดดเด่นที่จะเติมเต็มหน้าจอด้วยสีที่เปลี่ยนไปในแต่ละวินาที และหน้าปัดนาฬิกาสะท้อนแสงที่มาพร้อมหน้าปัดที่เปล่งประกายโดดเด่นซึ่งจะค่อย ๆ ตอบรับกับการเคลื่อนไหวของผู้ใช้
ฝาหลังโลหะแบบใหม่มาพร้อมขดลวดสำหรับการชาร์จที่ใหญ่ขึ้นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้ Series 10 ชาร์จเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยชาร์จเพียง 15 นาทีสามารถใช้งานได้นานถึง 8 ชั่วโมงสำหรับการใช้งานทั่วไปในแต่ละวัน หรือชาร์จ 8 นาทีเพื่อติดตามการนอนหลับได้สูงสุด 8 ชั่วโมง
นอกจากนี้ การชาร์จเร็วยังทำให้ผู้ใช้ชาร์จแบตเตอรี่ได้สูงสุด 80% ในเวลาประมาณ 30 นาที ซึ่งทำให้การใช้งานตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนนั้นเป็นเรื่องง่ายกว่าที่เคย
Apple Watch Series10 มาพร้อมความสามารถในการทนน้ำที่ระดับ 50 เมตร พร้อมตัววัดความลึกและเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิน้ำใหม่ สามารถวัดใต้ผิวน้ำได้ลึกถึง 6 เมตร เหมาะสำหรับดำน้ำสนอร์เกิลและดำน้ำตื้น หรือจะใส่ว่ายเล่นในสระ ทะเลสาบ หรือทะเลก็ทำได้
แอปความลึกในตัวสามารถอ่านได้อย่างชัดเจนเมื่ออยู่ใต้น้ำ โดยจะแสดงเวลา ความลึกปัจจุบัน อุณหภูมิของน้ำ ระยะเวลาที่อยู่ใต้น้ำ และความลึกสูงสุด รวมถึงมีตัวเลือกให้เปิดทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อ Apple Watch อยู่ใต้ผิวน้ำ
นอกจากนี้ยังมีแอป Oceanic+ ที่รองรับการดำน้ำสนอร์เกิล โดยผู้ใช้สามารถค้นหาจุดดำน้ำสนอร์เกิลยอดนิยมที่อยู่ใกล้ๆ ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงดูข้อมูลสภาพแวดล้อมที่จัดทำโดยชุมชนนักดำน้ำสนอร์เกิล และในขณะที่กำลังดำน้ำสนอร์เกิล ก็สามารถดูความลึก อุณหภูมิของน้ำ และข้อมูลอื่นๆ ได้ในหน้าจอเดียว
watchOS 11 ยังมาพร้อมแอปน้ำขึ้น-น้ำลงใหม่ที่จะช่วยให้ผู้ใช้วางแผนและเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมในแหล่งน้ำเปิด โดยสามารถดูการคาดการณ์ระดับน้ำขึ้นน้ำลงของชายฝั่งและจุดเล่นเซิร์ฟทั่วโลกได้ต่อเนื่องถึง 7 วัน
ลำโพงในตัวของ Apple Watch Series 10 สามารถเล่นเสียงได้แล้ว โดยผู้ใช้สามารถฟังเสียงจากแอปต่างๆ เช่น Apple Music, Apple Podcasts และ Apple Books ได้โดยตรงจาก Apple Watch เช่นเดียวกับการโทรเข้าออก
นอกจากนี้ยังมีระบบแยกเสียงใหม่ที่ช่วยลดเสียงรบกวนรอบข้างในขณะคุยโทรศัพท์หรือโทร FaceTime แบบเสียง ทำให้ปลายสายได้ยินเสียงที่ใสและคมชัด แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง เช่น ร้านอาหารที่คนแน่นร้าน ถนนในเมือง หรืออยู่กลางแจ้งในวันที่ลมแรง
Apple Watch Series10 มีให้เลือกทั้งแบบอะลูมิเนียมและไทเทเนียมในหลากหลายสีสันและผิวสัมผัส โดยมีตัวเรือนอะลูมิเนียมแบบขัดเงาในสีดำเจ็ทแบล็คเป็นครั้งแรก ซึ่งการจะทำให้แวววาวได้ขนาดนี้ ตัวเรือนอะลูมิเนียมต้องได้รับการขัดเงาด้วยอนุภาคขนาดนาโน ต่อด้วยกระบวนการชุบผิวถึง 30 ขั้นตอน
ตัวเรือนไทเทเนียมใหม่ผลิตจากไทเทเนียมเกรด 5 ที่มีผิวสัมผัสสะท้อนแสงแวววาวราวกับอัญมณี และมีน้ำหนักเบากว่า Series 9 ตัวเรือนสแตนเลสสตีลเกือบ 20%
ตัวเรือนอะลูมิเนียมมีให้เลือกในสีดำเจ็ทแบล็ค สีโรสโกลด์ และสีเงิน ส่วนตัวเรือนไทเทเนียมมีให้เลือกในสีธรรมชาติ สีทอง และสีเทาสเลท
นอกจากนี้ Apple Watch Series 10 ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยทุกตัวเรือนที่จับคู่กับสายแบบ Sport Loop, Braided Solo Loop หรือ Milanese Loop ใหม่จะมีความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ Apple 2030 ที่มุ่งมั่นทำให้คาร์บอนฟุตพริ้นต์ทั้งหมดของบริษัทมีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2030
watchOS 11 มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่มากมาย เช่น:
นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการออกกำลังกายแบบกำหนดเองสำหรับการว่ายน้ำในสระ และการแสดงอุณหภูมิของน้ำระหว่างการว่ายน้ำออกกำลังกายในสระและแหล่งน้ำเปิด
Apple Watch Series 10 มีให้เลือกทั้งขนาด 42 มม. และ 46 มม. พร้อมสายแบบใหม่ ๆ มากมาย เช่น:
สายทุกแบบได้รับการออกแบบให้สามารถใช้ร่วมกับ Apple Watch รุ่นเก่าได้ โดยสาย 42 มม. และ 46 มม. ทุกสายสามารถใช้ร่วมกับ Apple Watch รุ่นเก่าได้
Apple Watch Series 10 มีราคาเริ่มต้นที่ 14,900 บาท โดยจะเปิดให้สั่งซื้อเร็วๆ นี้ ส่วน Apple Watch SE มีราคาเริ่มต้นที่ 7,900 บาท สามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ และจะวางจำหน่ายในร้านเริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 20 กันยายน
สำหรับ watchOS 11 จะพร้อมให้ใช้งานสำหรับ Apple Watch Series 6 หรือใหม่กว่าในวันจันทร์ที่ 16 กันยายน โดยต้องใช้กับ iPhone Xs หรือใหม่กว่าที่ใช้งาน iOS 18