แอปเปิลเปิดตัว AI ของค่ายมาตามนัด ซึ่งคำว่า AI ของแอปเปิลในที่นี้ ไม่ได้ย่อมาจาก artificial intelligence เหมือนสากลโลก หากแต่ย่อมาจาก Apple Intelligence ที่ล้อไปกับชื่อแบรนด์อย่างลงตัว โดย Apple Intelligence จะเป็นขุมพลังในการขับเคลื่อนฟีเจอร์ใหม่ ๆ บนสินค้าตระกูล iPhone, iPad และ Mac ใน iOS 18, iPadOS 18 และ macOS Sequoia ที่เตรียมจะปล่อยให้อัปเดตเร็ว ๆ นี้
แอปเปิลพัฒนา Apple Intelligence โดยมีรากฐานจากแนวคิด 5 ข้อเป็นสำคัญ คือ ทรงพลัง ใช้งานง่าย ทำงานแบบบูรณาการ เข้าใจผู้ใช้งาน และมีความเป็นส่วนตัว (powerful, intuitive, intergrated, personal and private) ซึ่งแต่ละอย่างก็สื่อความหมายตรงตัวอยู่แล้ว
ส่วน ‘เข้าใจผู้ใช้งาน’ หรือ personal แอปเปิลขยายความเพิ่มเติม โดยการเปรียบเทียบว่าแช็ตบอตหรือเครื่องมือ AI ที่มีให้ใช้งานทั่ว ๆ ไป มันไม่ได้รู้จักตัวตนของผู้ใช้งานเลยแม้แต่น้อย มีหน้าที่แค่รับคำสั่ง แล้วก็ตอบสนองไปตามนั้น แตกต่างจาก Apple Intelligence ที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจกับพฤติกรรมผู้ใช้งานอย่างลึกซึ้ง เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่เหมาะสมที่สุดตามบริบท ดังนั้นแอปเปิลเองจึงให้คำนิยาม Apple Intelligence ว่าเป็น personal intelligence ที่เกิดจากคำว่า personal และ artificial intelligence รวมเข้าด้วยกัน
Apple Intelligence รองรับฟีเจอร์หลายอย่าง แบ่งเป็น 4 หมวดหมู่ใหญ่ ๆ คือ ภาษา รูปภาพ การกระทำ และบริบทส่วนตัว (language, images, action and personal context) ยกตัวอย่างฟีเจอร์บางส่วน ดังนี้
ภาษา
รูปภาพ
การกระทำ
สำหรับประเด็นเรื่องความปลอดภัย แอปเปิลเน้นย้ำในเรื่องนี้ โดยบอกว่า Apple Intelligence จะประมวลผลบนตัวอุปกรณ์แบบ on-device เป็นหลัก ดังนั้นข้อมูลจะไม่หลุดออกไปภายนอก แต่บางงานที่ต้องโยนไปประมวลผลบนคลาวด์ แอปเปิลก็มีส่วนที่เรียกว่า Private Cloud Compute เป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ทำออกมารองรับโดยเฉพาะ แน่นอนว่าไม่มีการเก็บข้อมูลเช่นกัน พร้อมการเข้ารหัสป้องกันอีกชั้น
แอปเปิลปล่อย Apple Intelligence ให้ใช้งานบน iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ส่วนตระกูล iPad และ Mac ต้องเป็นรุ่นที่มีชิป M1 ขึ้นไป (ชิป M2, M3 หรือ M4 ก็ได้หมด) โดยการใช้งานต้องตั้งค่า Siri และภาษาตัวเครื่องเป็นภาษาอังกฤษแบบสหรัฐฯ ด้วย
ส่วนอุปกรณ์อื่นนอกเหนือจากนี้ และการรองรับภาษาไทย ต้องติดตามความคืบหน้าในภายหลัง